วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หวงเฟยหง

หว่อง เฟฮอง(หวงเฟยหง)




หวงเฟยหง 1847 - 1924

เ่อ่ยชื่อมาไอ้พวกบ้าหนังกังฟูเป็นร้องอ๋อทุกคน ปรมาจารย์กังฟูที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน
มีชื่อเสียงมากในแถบตอนใต้ของจีน(กว๋อซาน หรือ ฝอซาน)ในยุคที่ตกเป็นเหยื่อการล่าอาณานิคมของชาวตะวันตก
เรื่องราวของปรมาจารย์ท่านนี้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครนับครั้งไม่ถ้วน
จนขี้เกียจจะนับเพราะแม่งโคตรพ่อโคตรแม่เยอะจริงๆ
ในช่วงยุคปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นยุคศตวรรษที่ 20 หวงเฟยหง ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในตำนาน
ของหน้าประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมจีน เขาเป็นทั้งหมอที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านและยังเป็นอาจารย์สอนกังฟูที่คอยชี้
แนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับลูกศิษย์ของเขาอีกด้วย(ยุคเดียวกับวีรบุรุษชาวนา ฮั่วหยวนเจี๋ย นึกไม่ออก
ไปหาหนังเรื่อง fearless มาดู)

หวง เฟยหง มีชื่อเดิมว่า หว่องเส็กเฉิ่ง เกิดวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1847(พ.ศ.2390)
ตรงกับรัชสมัยฮ่องเต้เต้ากวง แห่งราชวงศ์ชิง ที่หมู่บ้านหลูเจ้า เมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง
จนในปี 1924(พ.ศ.2467) หวงเฟยหงได้เสียชีวิตลงในวัย 77 ปี
หวง เฝยหง เป็นบุตรของ หวง จี้อิง หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 10 พยัคฆ์กวางตุ้ง เหล่าปรมาจารย์กังฟูที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น ประกอบด้วย
1- หวง จี้อิง
2- ซู ชาน (ยาจกซูนั่นแหล่ะ)
3- เหลียงควง
4- ถี จี้เฉิน
5- ซู เฮ็กโฮ้ว
6- หวัง เอี้ยนหลาน
7- หว่อง เติ้งเข่อ
8- ถัน จีฮก
9- ลิ ยุนเชา
10- โจว ไท่

ถึงแม้ว่า หวงจี้อิง จะเป็นถึง10 พยัคฆ์กวางตุ้ง แต่ก็ไม่ได้สอนกังฟูให้หวงเฟยหงเพราะต้องการ
ให้หวงเฟยหงสืบทอดวิชาหมอมากกว่ากังฟู อาจารย์คนแรกของหวงเฟยหงคือ ลู่ อาไค ผู้เป็นสหายร่วมสำนักเส้าหลินกับ หง ซีกวน
ผู้คิดค้นหมัดตระกูลหง(หงฉวน หรือ หงฉวนก่า) หลังจากนั้นหวงเฟยหงมีอาจารย์อีกคนคือ หล่ำ ฟกซิง
ในช่วงนี้ หล่ำ ฟกซิง กระหน่ำสอนมวยตระกูลหงให้แก่หวงเฟยหงแบบแน่นปึ้กยิ่งกว่าสอบโอเน็ต
จนหวงเฟยหงมีความชำนาญหมัดตระกูลหงตั้งแต่วัยทีน เพลงมวยที่หวงเฟยหงชำนาญที่สุดคือ "หมัดเมา"
พอเห็นอย่างงี้ หวง จี้อิงผู้เป็นพ่อเอาตีนก่ายหน้าผากคิดว่า เด็กมันแรงจริงคงรั้งไว้ไม่อยู่
เลยถ่ายทอดวิชากังฟูของตนไปพร้อมกับถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณ(หวง จี้อิง เป็นซินแส)
จนหวงเฝยหงกลายเป็นผู้ชำนาญเพลงมวยตั้งแต่วัยหนุ่ม


วัยแซ้บ

พอหวงเฟยหงอายุได้16ปี ตอนนี้เขาก็เริ่มมีชื่อเสียงเพราะความช่ำชองเพลงมวยของเขา
และวีกรรมสุดจี๊ดอันเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์โดยการถล่มเวทีประลองที่ชาวต่างชาติจัดขึ้

โดยไอ้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวบาเล่ย์คิดค้นกิจกรรมสร้างความบันเทิง โดยให้สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด
อดอาหารจนดุร้ายกระหายเลือด จากนั้นก็จัดเวทีท้าประลองให้ชาวจีนสู้กับสุนัข
ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลมูลค่าสูง แต่ถ้าบาดเจ็บจนพิการหรือล้มตายก็จะไม่ได้รับการเหลียวแลหรือรับผิดชอบใดๆ
ซวยเน้นๆ มีผู้เข้าประลองไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บและล้มตายไปกับสิ่งที่เรียกว่า "ความบันเทิง" ของไอ้พวกฝรั่งตะวันตก
หวงเฟยหงได้ทราบข่าวนี้เข้าก็ปรอทแตกโพล๊ะ วิ่ง4X100ไปที่กองประกวดมิสอัลคาซ่า อิเหี้ย!! ไม่ใช่ซิ
วิ่งเข้าไปที่เวทีประลอง
และแน่นอนว่าชนะไปแบบชิลๆด้วยท่าไม้ตายเฉพาะตัวของหวงเฟยหง "เพลงเตะบาทาไร้เงา" เตะทั้งหมาทั้งฝรั่งกระเจิง

พออายุได้21ปีหวงเฟยหงได้ย้ายไปพำนักที่ฮ่องกง แต่เมื่อมาถึงไม่นานดวงคนมันดึงตีนเข้าหาก็ออกอาการมันซะงั้น
หวงเฟยหงเข้าไปช่วยคนในท่าเรือฮ่องกง(สวนสาธารณะถนนฮอลลีวูด บนเกาะฮ่องกง ณ บัดนาว)ที่ถูกพวกผู้มีอิทธิพลในท่าเรือรังแก
แน่นอนว่าไอ้พวกนั้นโดนซัดซะหมอบกระแตแต้แว้ดไปหลายสิบคน เน้น หลายสิบ
โดยที่หวงเฟยหงมีอาวุธเป็นไม้ไผ่ยาวต้นเดียว


นกกระแตแต้แว้ด

หลังเหตุการณ์นี้หวงเฟยหงเดือดร้อนซิคะคุณขา ตื้บพวกเค้าซะยับจนพวกมาเฟียท่าเรือ
ตามรังควาญจนไม่ต้องทำมาหาแดก หวง เฟยหงไม่อาจพำนักอยู่ในฮ่องกงได้อีกต่อไปและต้องระเห็จกลับ
ไปเปิดร้านหมอยากับผู้เป็นบิดาอยู่ที่กวางโจว

วัยผู้ใหญ่

หวง เฟยหงกับบิดา หวง จี้อิง เปิดร้านหมอยาที่กวางโจวชื่อว่า เป่าจือหลิน(ถนนสายที่ 13 เขตกวางโจวตะวันตกในปัจจุบัน)
แต่กิจการช่วงแรกๆอาจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทั้งสองจึงปิ๊งไอเดียเปิดสำนักมวยมันด้วยซะเล

ควบกิจการ2อย่างไปในตัว ปรากฏว่าโชคดีเหมือนผีผลัก คราวนี้ทั้งร้านขายยาทั้งสำนักมวยดังเป็นประทัดยักษ์แตกแถวบ่อนไก่
ผู้คนแห่กันมาขอเป็นลูกศิษย์มากมาย ทั้งร้านยาเองก็กิจการดีวันดีคืน ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่ขูดรีดกับชาวบ้าน บ่อยครั้งที่เป่าจือหลินไม่เรียกเก็บเงินค่ายาหรือค่ารักษากับผู้ยากไร้
วิชาแพทย์ของหวงเฝยหงก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นเอกอุ ทั้งหวงเฟยหงและหวงจี้อิงชำนาญวิชาฝังเข็มและต่อกระดูกมากๆ
เคยให้การรักษากับนายพลเหลา หวิงฟกจนหายดีเป็นที่ชอบอกชอบใจกับนายพลท่านนี้มาก







เป่าจือหลินในปัจจุบัน




เป่าจือหลินในปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ในการดูแลของมณฑลกวางโจว เปิดให้ผู้สนใจทั่วไปเข้าชมได้ทุกวัน


อินเลิฟ

หวง เฟยหงแม้จะไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่ก็ผ่านการมีชีวิตคู่มาถึง4 ครั้ง และเชื่อกันว่าหวงเฟยหงได้แต่งงานกับน้า 13(เหมือนที่เรา
เห็นกันในภาพยนตร์) มีลูกทั้งหมด 10 คนถือว่าน้อยสำหรับชาวจีนที่มีฐานะมีอันจะกิน(ทีละหลายๆอัน)
ภรรยาสามคนแรกของเค้าเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย(อ้าว ดวงกินเมียนี่หว่า)
หวงเฟยหงโทษตนเองว่า เป็นต้นเหตุแห่งเคราะห์ร้ายแก่คนที่ตนรัก เลยตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแต่งงานอีก
กะว่าจะใช้ชีวิตเป็นเพล์บอยไปทั้งชีวิต
แต่ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ในเหมันต์ฤดูปี1903 ขณะที่หวงเฟยหงกำลังเชิดสิงโตอย่างเมามันส์ด้วย
จังหวะสกา(หวงเฟยหงเป็นครูสอนเชิดสิงโตด้วย คนอะไรเก่งหลายอย่างจริงๆพ่อคุณเอ้ย) เผลอออกอาการ
มากเกินไปจนสะบัดรองเท้าหลุดปลิวกระเด็นไปโดนสาวน้อยวัยใสอายุ 16ปี ชื่อว่า มอก ไกวหลาน ซึ่งยืนชม
อยู่ในหมู่ผู้ชม ด้วยความรู้สึกผิด หวงเฟยหงจึงพยายามค้นหาตัวหญิงสาวเพื่อกล่าวคำขอขมา
นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งการพบกับความรักครั้งสุดท้ายของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่
โอ้วว โรแมนติคชิบหายพบรักกันเพราะส้นตีน เพิ่งรู้ว่าหวงเฟยหงพลัง "L"

ศิษย์

หวง เฟยหงมีลูกศิษย์ทั้งหมด 18 คนว่ากันว่าคนที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุก ๆ ด้านทั้ง
วิชากำลังภายใน วิชาแพทย์ และการเชิดสิงโต คือ เหลิง ฟุน (เหลียง คุน ที่เราเห็นในหนังกันนั่นแหล่ะ)
แต่โชคร้ายที่ศิษย์เอกรายนี้ เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 20 ต้น ๆ
ศิษย์คนหนึ่งของหวงเฟยหงชื่อตั่ง เซาขิ่ง เป็นผู้หญิงซึ่งนับว่าแปลกมากในสมัยนั้นที่จะถ่ายทอดเพลงมวยให้ผู้หญิง
แสดงถึงความใจกว้างและมีเมตตาของหวงเฟยหงได้อย่างชัดเจนมาก
ทว่าศิษย์คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากสุดคือ หลิน ชีหลง(เหลียน ชิลอง) ก่อนหน้าที่เคยเรียนมวยจากที่อื่น
แล้วละทิ้งวิชาเหล่านั้นมาเรียนกับหวงเฟยหง จนเขากลายเป็นอาจารย์ในเวลาต่อมา เขาเขียนหนังสือมากมาย
เกี่ยวกับกังฟู และใช้เวลาส่วนใหญ่ทั้งชีวิตกับการฟื้นฟูมวยสกุลหงให้เป็นรูปแบบในช่วงเปลี่ยนยุคสมั

ด้วยการอุทิศตนเช่นนี้เอง มวยกลุลหงจึงยังคงแพร่หลายอยู่ในภาคใต้ของจีน และในฮ่องกงมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาได้เปิดสำนักมวยตระกูลหง ดำเนินรอยตามอาจารย์ ทั้งเขียนตำราหมัดมวยที่สำคัญเอาไว้หลายเล่ม
และ หลิน ชีหลง ผู้นี้เองที่เป็นผู้เผยแพร่วีรกรรมของอาจารย์หวงเฟยหงจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง

เส้นสายการสืบทอดวิชากังฟูตระกูลหงจาก ลู่ อาไค ถึง หลิวเจียเหลียง
ลู่ อาไค(อาจารย์) ถ่ายทอดให้ หวงเฟยหง
หวงเฟยหง (อาจารย์) ถ่ายทอดให้ หลิน ชีหลง
หลิน ชีหลง (อาจารย์) ถ่ายทอดให้ หลิว ชาน
หลิว ชาน (พ่อ/อาจารย์) ถ่ายทอดให้ หลิวเจียเหลียง(ครูมวย,ผุ้กำกับภาพยนตร์,ดารา-ไปหาหนังชอว์บราเดอร์เก่าๆมาดูได้เจอแน่นอน)

บั้นปลาย

หวง เฟยหง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1924 สิริอายุได้ 76 ปี หลังจากนั้น
มอก ไกวหลาน พร้อมด้วยลูกศิษย์ 2 คนของหวง เฟยหง คือ หลิน ชีหลง และ ตั่ง เซาขิ่ง ก็ได้พากันอพยพไปยังฮ่องกง


ภาพยนตร์

เยอะ เยอะมาก เยอะสุดๆ โคตรเยอะ เยอะชิบหาย นับจากภาพยนต์ที่มีเรื่องราว
เกี่ยวกับหวงเฟยหงเรื่องแรกออกฉายในปี1949(พ.ศ2492) จวบจนปัจจุบัน เวลาผ่านไปแล้วถึง45ปี อุ๊!! แม่เจ้า ยาวนานมาก
ดาราคนแรกที่มารับบทหวงเฟยหงเป็นดาราที่ผันตัวเองมาจากการเป็นดารางิ้วชื่อว่า กวานตั๊กฮิง
ในยุคแรกนั้น เฮียกวานตั๊กฮิง คนนี้ผูกขาดบทหวงเฟยหงอยู่คนเดียวติดต่อกันนานถึง 21ปี
โดยหนังในซีรีส์นี้ตะบี้ตะบันสร้างแม่งถึง99เรื่อง อิเหี้ย!! ทำไมมึงไม่เอาให้ครบร้อยไปเลยล่ะ
เว้นไว้หาพ่องเหรอเรื่องเดียว(เรื่องสุดท้ายในปี 1970)
ยัง ยังไม่หมด เฮียกวานตั๊กฮิงคนนี้ยังไม่สิ้นลาย จนในที่สุด ในปี 1981(พ.ศ.2524) ผู้กำกับหยวนวูปิง
ส่งเทียบเชิญเฮียแกให้มารับบทหวงเฟยหงอีกครั้งในหนังเรื่อง Dreadnaught
ที่มี หยวนเปียว แสดงนำ และเป็นเรื่องสุดท้ายที่เฮียกวานตั๊กฮิงรับบทเป็นหวงเฟยหง
ครบ100จนได้ไอ้แม่ยิ้ม กินเนสส์บุ๊คบันทึกไว้ว่า เขาเป็นนักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครเดิมมากที่สุดในโลก
ถึงขั้นว่าในชีวิตจริง ชาวบ้านร้านตลาดเรียกขานเขาว่า "อาจารย์หวง"

หลังจากนั้นตำนานอาจารหวงโดนตอกไข่ใส่สีเพิ่มเข้าไปอีกเยอะจนเละเทะต่ออีกหลายเรื่อง
มีทั้งสร้างออกมาได้ดีจนเป็นที่จดจำ ไปจนถึงบางเรื่องที่สร้างออกมาได้หมาไม่แดก
ดาราที่มารับบทหวงเฟยหงก็มีสลับสับเปลี่ยนมากหน้าหลายตา
อาทิเช่น หลิวเจียฮุย เรื่อง Challenge of the Master ของ ชอว์บราเดอร์สซึ่ง
ผู้กำกับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หลิวเจียเหลียง ศิษย์สายตรงอีกคนที่สืบทอดวิชามาจากหวงเฟยหงนั่นเอง
อีกคนนึงที่มาแสดงเป็นหวงเฟยหงในวัยหนุ่มก็คือ เฉินหลง(แจ็คกี้ ชาน) กับหนังฮิตของเขา
Drunken Master ไอ้หนุ่มหมัดเมา ในปี1978 (พ.ศ.2521)ของผู้กำกับ หยวนวูปิง หวงเฟยหงเวอร์ชั่นนี้เป็นหนุ่มจอมทะเล้น
ที่พ่อของเขาส่งไปเรียนวิชาหมัดเมากับอาจารย์ ซึ่งเป็นลุงของเขา ยาจก ซู(หยวนเสี่ยวเถียน แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมาก)








ในปี 1991(พ.ศ.2534) พ่อมดมายาของฮ่องกง ฉีเคอะ (ซึ่งจริงๆต้องอ่านชื่อของเขาว่า ซุยฮาก
ถ้ามึงไปพูดถึงเฮียแกโดยเรียกว่าฉีเคอะ กุพนันได้เลยว่าทั้งเกาะฮ่องกงใบ้แดกไม่รู้ว่ามึงพูดถึงใคร) นำตำนาน
ปรมาจารย์หวงเฟยหงกลับมาอีกครั้งกับOnce Upon a Time in China
นำแสดงโดยนักวูซูชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชื่อ หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li) หนังประสพความสำเร็จ
ล้นหลามแถมมีภาคต่อออกมาทั้งสิ้น5ภาค (หลี่เหลียนเจี๋ยเล่น3ภาค จ้าวเหวินจั๋วเล่นอีก2ภาค)
เป็นหนังที่ทำให้คนรุ่นกูๆมึงๆรู้จักชื่อของปรมาจารย์กังฟูหวงเฟยหงมาจนปัจจุบัน







นักร้องผู้ล่วงลับอย่างอลัน ทัมก็เคยมาสวมบทบาทเป็นหวงเฟยหงเหมือนกันในหนังเรื่อง
Once Upon a Time A Hero in Chinaแต่เป็นหวงเฟยหงในแบบหนังล้อเลียนฮากันขี้แตกขี้แตน

ปี 1993(พ.ศ.2536) หยวนวูปิงก็ได้สร้างหนังหวงเฟยหงขึ้นอีกครั้งกับเรื่อง Iron Monkey
แต่ตัวเอกกลับกลายเป็น หวงจี้อิง บิดาของหวงเฟยหง(แสดงโดยดอนนี่ เยน) ส่วนหวงเฟยหงในเรื่อง
อายุเพียง 10 ขวบ รับบทโดยเด็กผู้หญิง (ในชีวิตจริง ตอนนี้เธอเป็นแชมป์วูซูของแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว)








1994(พ.ศ.2537) เฉินหลงกลับมารับบทเป็นหวงเฟยหงวัยหนุ่มอีกครั้งกับหนังภาคต่อ Drunken Master 2
ไอ้หนุ่มหมัดเมา2 โดยมีตี้หลุงมารับบทเป็นหวงฉีอิง เฉินหลงได้กำกับคิวบู๊ร่วมกับหลิวเจียเหลียงอีกด้วย
ฉากไฮไลท์คือฉากสุดท้ายที่หวงเฟยหงต้องต่อกรกับนักสู้ผู้เชี่ยวชาญเพลงเตะ Ken Lo(บอดี้การ์ดในชีวิตจริง
ของเฉินหลง) ถึง 10 นาที ฉากนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในฉากต่อสู้ของหนังกังฟูที่ดีที่สุดตลอดกาล




Blackbelt.com
wikipedia.org
หนังสือ10 พยัคฆ์กวางตุ้ง
บทความ เพลงหมัด Hung Gar ( หมัดสกุลหง ) โดย WushuThailand
บทความ 45 ปีกับตำนานหวงเฟยหง โดย Liu Fei
บางส่วนจากบทสนทนากับคุณอาร์ม อาวุธไทยรามคำแหง

ที่มา:http://www.sangabuay.com/board/index.php?s=e2658852c0c7c739c88db100c81c40fc&showtopic=16202

ข้าวผัดเรือล่มกลางทะเลอ่าวไทย

"ข้าวผัดเรือล่มกลางทะเลอ่าวไทย" เป็นชื่อข้าวผัดเฉพาะกิจ โดยมีที่มาคือ ข้าว ข้าวสวยนี่แหละ มันเหลือติดหม้ออยู่จานนึง
แล้วมื้อเช้าก็ไม่ได้หุงข้าวใหม่ แต่กลัวมันจะบูด เลยเอาข้าวที่เหลือจานนึงนี่แหละมาเก็บไว้ในตู้เย็น พอตอนเย็นก็ได้เวลาหุงข้าวแล้ว เพราะท้องเริ่มหิว แต่ด้วยความที่หิวมาก ข้าวที่หุงไว้มันก็สุกไม่ทันใจ ก็ได้นึกถึงข้าวจานน้อยนี้ขึ้นมา คิดเมนูขึ้นมาทันที แล้วก็ได้นึกถึงภาพ ข้าวผัดอเมริกัน (ที่อเมริกาไม่มีขาย) สีแดงๆ กินกับไก่ทอด + ไส้กรอกทอด แต่เรามีแค่ข้าว กับแกงจืดเต้าหู้ ทำไงดี? ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องอเมริกันก็ได้ เอาแค่เดินทางไป แล้วเรือล่มระหว่างทาง ตรงอ่าวไทยที่อุดมไปด้วยแหล่งก๊าซธรรมชาติก็พอ เน้นอร่อยก็พอไม่เน้นความเหมือน ว่าแล้วก็เริ่มต้นที่ส่วนประกอบกันเลย
ส่วนประกอบ
1. ข้าว (แช่เย็น) 1 จาน
2. ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
3. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
4. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันพืช (ถั่วเหลือง) 1 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำซุป (ในที่นี้ใช้น้ำแกงจืดเต้าหู้หมูสับนี่แหละ) 2 ช้อนโต๊ะ

ดูจากส่วนประกอบแล้วธรรมดาใช่มั้ยครับ
จริงๆแล้วมันก็ข้าวผัดโง่ๆธรรมดานี่แหละ แต่กินเข้าไปแล้วมันก็อร่อยไม่เบานะฮะ
เริ่มผัดกันเลยดีกว่า

-ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ(ถ้าจะผัดด้วยหม้อก็ใส่หม้อละกันนะ)
-เปิดไฟอ่อนๆ นำกระเทียมสับลงไปเจียว(ผัด) จนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว อาจจะสงสัยนะว่าทำไมกระเทียมเยอะจัง คือเราเน้นกลิ่นนะฮะ กระเทียมถือเป็นพระเอกของงานเลยก็ว่าได้
-พอกระเทียม เริ่มออกอาการเหลือง เราก็เอาข้าวลงไปคลุกครับ ใช้ไฟปานกลางนะ สำหรับไฟปานกลางใครไม่รู้ว่ามันกลางขนาดไหน ก็ให้กะเอานะฮะ ว่ากลางแบบกลางๆน่ะ ถ้ายังไม่แน่ใจก็ Google เลยครับ
-รีบๆคลุก(ผัด)จนทั่วถึงดีแล้ว ให้เอา น้ำซุป+ซอสมะเขือเทศ+ซีอิ๊วขาว ลงตามไป
-ผัดต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี และเเน่ใจแล้วว่า ข้าวไม่เป็นน้ำแข็งแล้ว ก็ยกลงจากเตาได้เลยฮะ

หน้าตาจะออกมาแนวๆข้าวผัดอเมริกัน แบบไม่ได้แต่งหน้านะ คือสีแดงระเรื่อ และแดงอย่างเดียว ไม่มีสีอื่นเจือปนเลย (ยกเว้นคลุกไม่ทั่วจะมีสีขาวปะปนมาบ้าง) และเมื่อลองชิมดูแล้ว.........ข้าวผัดกระเทียมชัดๆครับ กลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม รสชาติสุดยอดครับ กินเข้าไปไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว (อาจเป็นเพราะหิวด้วยล่ะมั้ง) ส่วนภาพประกอบนั้น ไม่มีนะฮะ ไม่ได้ถ่ายมา พอดีหิว ก็เลยกินเลย
วันหลังจะมีเมนูเด็ดกว่านี้มานำเสนอนะ คิวต่อไปเลย "ผัดบวบ" อร่อยแน่นอน แล้วเจอกันนะครับ

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จาก จับเลี้ยง ถึง โอเลี้ยง และ โอยั้วะ



มาอยู่บ้านพี่สาว(นิด)

มันซื้อน้ำดำๆมา2ถุงใหญ่ๆ ถุงนึงแบ่งได้ 2 แก้วเบียร์
ถามได้ความมาว่า มันคือน้ำจับเลี้ยง ลองดื่มดู ได้รับรู้รสชาติ ทำให้นึกถึง น้ำมะตูม และเกิดความสงสัยถึงที่มาที่ไปของมัน ตอนแรกคิดว่่ามันคงเป็นสมุนไพรชนิดนึง ชนิดเดียว แบบ เฉาก๊วย พอไป search ดู ปรากฏว่า
ไอ้เจ้าจับเลี้ยงเนี่ย ประกอบไปด้วย ดอกงิ้ว ใบบัว รากหญ้าคา ใบเพกา เก็กฮวย รากบัว โหล่เกง เทียงฮวยฮุ่ง
แซตี่ แห่โกวเช่า หล่อฮั่งก้วย เยอะมาก ดูในรูปเอา ก็เห็นมีดอกงิ้วด้วย แล้วไม่มีส่วนผสมของมะตูมอยู่เลย แล้วไหงกลิ่นมันทำให้นึกไปถึงมะตูมได้ (ช่างมันเถอะ)
ดูเอา เยอะขนาดไหน


แล้วจากการค้นหานี่ ทำให้ได้รู้ว่า มันเป็น "ยาเย็น" เหมาะสำหรับ คนที่เป็นร้อนใน
มีแผลในปาก ปากลิ้นเปื่อย มีฝ้า ขมคอ เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง ไอ ตาร้อนผ่าว(อิจฉาใครรึเปล่า) หรือ ดื่มในช่วงเวลาที่เรารู้สึกร้อน ต้องการน้ำมากๆ เช่นท้องเสียก็ดื่มได้ ราคาก็คงไม่แพงมากหรอกมั้ง (ที่กินอยู่นี่นิดซื้อมา)



พูดถึงจับเลี้ยงแล้วพาลนึกไปถึงโอเลี้ยง เคยดูในซิสคอม เรื่องนึง เมื่อนานมากกแล้ว ได้รู้ที่มาที่ไปของโอเลี้ยง คือว่าอีตาโอเนี่ย แกขายกาแฟโบราณอยู่ คือด้วยผงกาแฟโบราณเนี่ย มันไม่ใช่กาแฟอย่างเดียว
มันมีส่วนผสมอย่างอื่นด้วย จำพวกพวกเมล็ดธัญพืชอื่นๆ ก็เลยทำให้ราคามันถูก(มั้ง) แล้วอยู่มาวันนึง
แกก็ขายกาแฟโบราณของแกอยู่หน้าโรงเรียน แล้วให้บังเอิญ นมหมด แกขายกาแฟโบราณไม่ได้แล้ว แล้วผงกาแฟก็ชงกับน้ำร้อนรอไว้แล้วด้วย จะทิ้งก็เสียดาย อย่ากระนั้นเลย แจกเด็กๆดีกว่า ก็เลยใส่แค่น้ำตาลแล้วก็แจกเด็กๆไป หลังจากนั้นมีเสียงลือกันหนาหูว่า ตาโอเนี่ยแกชงกาแฟสูตรพิสดารเลี้ยงเด็กๆอยู่บ่อยๆ เมื่อมีคนถามว่ากาแฟอะไร ก็ไม่มีใครตอบได้ ผู้คนก็เลยพากันเรียก "โอเลี้ยง" ตั้งแต่นั้นมา (ฮา) หลังจากนั้นตาโอแกก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ กับการที่คนชื่นชม ว่าแกใจดี เลี้ยงโอเลี้ยงเด็กๆอยู่บ่อยๆ แกก็เลยชงโอเลี้ยงแจกอยู่บ่อยครั้ง แต่ต่อมา มีวัยรุ่นพวกหนึ่งคอยวนเวียนมาทางร้านตาโอบ่อยๆ เพื่อคอยมาส่องดูว่าแกจะแจกโอเลี้ยงอีกรึเปล่า เมื่อแกแจกโอเลี้ยง พวกวัยรุ่นพวกนี้ก็จะไปเข้าคิว รอโอเลี้ยงจากแกด้วย ลำพังกินของฟรีจากตาโอทุกวันไม่เท่าไหร่ อยู่มาวันนึงพวกวัยรุ่นก็พาพวกจากที่อื่นมารับโอเลี้ยงด้วย พวกจากที่อื่นก็เป็นคนปากเสียอยู่แล้ว ก็นินทาตาโอตรงหน้าร้านแกนั่นแหละ ว่าอีตานี่โง่ชิหายทำของแจกคนอื่นฟรีๆอยู่นั่นแหละ ฯลฯ จนตาโอแกบังเอิญได้ยินพอดี พอถึงเวลาวัยรุ่นกลุ่มนี้จะขอรับของฟรีบ้าง ตาโอก็เลย โกรธ ชงกาแฟดำแบบเข้มข้นเอาแบบขมๆ ใส่น้ำตาลน้อยๆจะได้ไม่เปลือง แล้วไม่ใส่น้ำแข็ง กระแทกลงหน้าพวกวัยรุ่น แล้วก็ด่า "พวกลื้อปากหมาหย่างเงี้ยแหลกๆปายแล้วปายห้ายพ้งเลยน้าม่ายต้องโผล่มาห้า่ยอั๊วเหงหน้าอีก" พวกวัยรุ่นก็ตกใจหนีไปก่อนไม่ทันได้กินของฟรี เด็กน้อยที่รอคิวอยู่เห็นกาแฟดำแก้วนั้นไม่มีใครกิน ก็เลยยกมากินเอง แล้วรู้สึกว่า อร่อย ก็เลยชวนเพื่อนๆตั้งชื่อกัน ก็เลยได้ชื่อ "โอยั๊วะ" จากการที่ตาโอคิดค้นสูตรนี้มาได้ตอนที่แกกำลัง "ยั๊วะ" นั่นเอง (ฮา)
เท่าที่ไป search มาก็พอจะสรุปมาได้ประมาณนี้นะ

กาแฟดำ + น้ำแข็ง = โอเลี้ยง

กาแฟดำ + นมข้น = โกปี๊

กาแฟดำ + น้ำแข็ง + นมสด = โอเลี้ยงยกล้อ

กาแฟดำ + นมข้น + น้ำแข็ง + นมสด = กาแฟเย็น


ส่วนเรื่องตำนานการตั้งชื่อก็ฟังจากที่เค้ามั่วๆกันมาตอนเด็กๆน่ะ ก็อย่าไปคิดอะไรมากนะฮะ

จบแล้ว ไปล่ะ แว้บบบ


ที่มา-ที่ไป

บล็อกนี้ เขียนขึ้นมา จากความสับสนทางความคิด ความเครียด ความเศร้า ความหดหู่ ความท้อแท้ เพราะถ้าอารมณ์ดี จะไม่มาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่ถึงอย่างนั้น บล็อกนี้ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องไม่ดี เรื่องซีเรียส หรือเรื่องชวนหดหู่อย่างเดียว ก็คงจะมีเรื่องอื่นๆที่พอจะมีสาระอยู่บ้าง ถึงจะไม่น่าอ่าน และไม่มีคนหลงเข้ามาอ่านก็ตามที สำหรับใครที่หลงมาก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกันนะครับ

วันนี้

กินข้าว กัดลิ้นตัวเอง เจ็บ




จบ